ไง เอ็งทำงานมากี่ปีแล้ว เมื่อไหร่จะซื้อบ้านของตัวเองซะทีล่ะ
ใครเคยเจอคำถามแบบนี้เหมือนผมบ้างครับ
ตอนนั้นก็สงสัยเหมือนกันนะว่า บ้านตอนนี้ก็มีอยู่แล้ว ก็อยู่สบายดี จะต้องซื้อเพิ่มไปทำไมหว่า แม่ก็ยังไม่ได้ไล่ออกจากบ้านซะหน่อยนะ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายผมก็ซื้ออยู่ดี แฮร่
ก็ของมันจำเป็นต้องมี มันก็ต้องซื้อมั้ยล่ะ
สำหรับผมนะ เรื่องที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือเลือกสถานที่ เลือกโลเคชั่นของบ้านที่เราจะซื้อนี่ล่ะ เพราะเงื่อนไขสำคัญเลยก็คือ งบประมาณในกระเป๋าตังค์ที่เรามีอยู่ไง จะอะไรล่ะ ที่สำคัญอีกอย่างนะ ผมคงไม่มีเงินพร้อมใช้เป็นล้านเพื่อไปซื้อบ้านด้วยเงินสดหรอก จริงมั้ย เอ๊ะ หรือไม่จริง
กู้เงินซื้อบ้านสิ ใคร ๆ เค้าก็ทำกัน มนุษย์เงินเดือนเครดิตดีอย่างพวกเราเนี่ย กู้ได้สบายอยู่แล้ว แต่กู้ได้เท่าไหร่นี่ก็อีกเรื่อง
รู้หรือไม่ว่า 40% คือภาระหนี้สินสูงสุดต่อเดือนที่ธนาคารจะอนุมัติให้เรากู้ได้
อ่ะ งง งง งง
คืองี้ สมมตินะ ถ้าผมเงินเดือน 15,000 บาท 40% ของ 15,000 เท่ากับ 6,000 หมายความว่า ไม่ว่าจะผมอยากจะกู้เพื่อมาผ่อนอะไรก็ตาม ผมจะถูกกำหนดเพดานไว้ว่า ผ่อนได้ไม่เกินเดือนละ 6,000 บาทเท่านั้น ทีนี้ 6,000 บาทที่ผมสามารถผ่อนได้เนี่ย จะได้บ้านราคาเท่าไหร่กัน ไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว Krungsri คำนวณมาให้แล้วตามนี้นะครับ
เงินเดือน 15,000 บาท ผ่อนได้สูงสุด 6,000 บาทต่อเดือน สมมติว่าดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ผ่อน 15 ปี วงเงินกู้ 647,000 บาท
ผ่อน 20 ปี วงเงินกู้ 744,000 บาท
ผ่อน 25 ปี วงเงินกู้ 811,000 บาท
ผ่อน 30 ปี วงเงินกู้ 858,000 บาท
ผ่อน 35 ปี วงเงินกู้ 889,000 บาท
อยากได้วงเงินสูงกว่านี้ เงินเดือนก็ต้องสูงกว่านี้นะครับ
เพราะฉะนั้นเพื่อให้ฝันเรื่องการซื้อบ้านของเราเป็นจริง เราก็ต้องประเมินให้ได้ก่อนนะว่าเราน่าจะมีโอกาสได้วงเงินกู้มากน้อยแค่ไหน แล้วค่อยลองมองหาดูว่าบ้านแถวไหน ในเมืองหรือชานเมือง บ้านแบบไหน ใหม่แกะกล่อง หรือบ้านมือสอง ที่งบประมาณของเราไปถึง
เมื่อของมันจำเป็นต้องมี บ้านจำเป็นจะต้องซื้อ ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงว่ากำลังซื้อของเรามีแค่ไหนนะครับ
ถ้าใครอยากได้คำแนะนำดี ๆ ในการเลือกซื้อบ้านมากกว่านี้ ก็ตามไปอ่านได้ที่ Link นี้เลยครับ
#HRTheNextGen